ในวันที่ทุกอย่างดูไม่มีทางออก
เราไม่ตอบสนองต่อยา แผนการรักษานี้เฟล
โรคก้าวหน้าขึ้น ร่างกายเราแย่ลงเรื่อยๆ
ทั้งหมอและญาติยังไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อ
เมื่อแผนล้ม คนเคว้ง จึงมีคำถามผุดขึ้นมาว่า
“นี่เรากำลังยื้ออยู่หรือเปล่า เราเป็นภาระให้คนอื่นหรือเปล่า”
และก็เป็นวันที่ตัดสินใจถามป๊าตรงๆตอนกินข้าวว่า
เรา : ป๊า เหนื่อยมั้ย ?
ป๊า : ……………..
(ป๊าทิ้งจานข้าวและเดินไปที่ประตู เป็นครั้งแรกที่ป๊าเงียบและหันหลังให้เรา เรารู้สึกว่าป๊ากำลังสะอื้นเล็กๆอยู่หน้าประตู)
ในใจตอนนั้นเรารู้เลยว่าป๊าเหนื่อยมาก ป๊าท้อมาก
“ถ้าป๊าต้องเหนื่อยต้องเครียดขนาดนี้ ป๊าก็ปล่อยเราไปเถอะ”
นี่คือสิ่งที่เรากำลังจะบอก
แต่ป๊ารู้ว่าเราจะพูดอะไร ป๊าจึงเดินออกจากห้องไปก่อน
ตลอดเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา
ป๊าต้องวิ่งมาส่งข้าวที่ รพ. ตั้งแต่ 7 โมงเช้า
ระหว่างวันก็กังวลว่าลูกจะไม่ตื่นมากินข้าวกินยา
โทรมาปลุกและเช็คตลอดว่ากินอะไรหรือยัง
พอตกบ่ายก็วิ่งมา รพ.อีกรอบเพื่อมาดักรอคุยกับหมอ
ตอนเย็นก็เข้ามาอุ่นข้าวให้ มานั่งกินข้าวเป็นเพื่อน
นั่งหลับจนกระทั่งคนนอนเฝ้ากะดึกมา
ถ้าป๊า “ปล่อยมือ” เราตั้งแต่วันนั้น ก็คงไม่มีเราในวันนี้
มันอาจเป็นกรรมของป๊า
หรือมันอาจเป็นบุญของเรา
ที่ทำให้เราเกิดมาเป็นพ่อลูกกัน
แต่ไม่ว่าชีวิตเรามันจะแย่แค่ไหน
เราก็ไม่เคยหมดหวังเพราะเรารู้ว่า
ป๊าจะอยู่ข้างเราตลอด
ขอบคุณช่วงเวลาป่วยที่ทำให้รู้ว่าความรักของพ่อมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน
แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราจะบอกรักกันในวันที่เรายังแข็งแรงทั้งกายและใจ
อย่าลืมแสดงออกให้คนใกล้ตัวรับรู้ก่อนที่มันจะสายเกินไป
สุขสันต์วันพ่อค่ะ
5/12/15